10 วิธี ซักผ้านวม ให้กลับมาหอมสะอาดทั้งคืนด้วยเครื่องซักผ้า

ผ้านวมถือเป็นหนึ่งในเครื่องนอนสำคัญของใครหลาย ๆ คน เพราะถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีอากาศร้อน แต่หลายบ้านมีการใช้เครื่องปรับอากาศในช่วงเวลาหลับ จึงทำให้ผ้านวมกลายมาเป็นส่วนสำคัญของชีวิต ทั้งยังมีอีกหลายคนที่รู้สึกติดผ้านวมเป็นอย่างมาก ถ้าไม่มีก็แทบนอนไม่หลับ แต่รู้หรือไม่ว่าถ้าทำความสะอาดไม่ดี จะพาให้คุณหลับได้ยากและส่งผลเสียต่อสุขภาพที่มากพอสมควร ดังนั้นจึงขอแนะนำ 10 วิธีซักผ้านวมให้กลับมาหอมสะอาดตลอดทั้งคืน และเป็นวิธีการทำความสะอาดด้วยเครื่องซักผ้า ที่จะประหยัดแรงคุณได้มากขึ้น ดังนี้

1.รู้จักประเภทผ้านวมก่อนซัก

เรื่องสำคัญที่คนควรทำเป็นเรื่องแรก คือ การตรวจสอบดูว่าผ้านวมของคุณเป็นผ้าชนิดใด เพื่อการทำความสะอาดที่ถูกประเภทและไม่ทำให้ผ้าเสียหาย เช่น ถ้าผ้านวมของคุณมีเนื้อผ้าเป็นแบบเดียวกับผ้าห่มขนเป็ด จะไม่สามารถใช้เครื่องซักผ้านวมได้ เพราะจะทำให้เกิดปัญหาการจับตัวเป็นก้อนของเนื้อผ้าภายใน และเนื้อผ้าด้านนอกจะกลายเป็นคราบด่าง ที่เมื่อแห้งแล้วจะแสดงออกมาเป็นรูปวงกลม หรือที่ถูกเรียกว่า “ด่างน้ำ” ดังนั้นจึงควรนำไปใช้บริการซักแห้งของร้านซักรีดจะดีที่สุด และจะต้องเลือกร้านที่มีความชำนาญในการทำความสะอาดผ้าห่มและผ้านวมขนเป็ดโดยเฉพาะ เพื่อลดการเกิดความเสียหายให้ได้มากที่สุด เป็นต้น

2.เลือกใช้น้ำยาซักผ้าสูตรเข้มข้น

การซักผ้านวมควรเลือกใช้เป็นน้ำยาซักผ้าสูตรเข้มข้น และเป็นสูตรการขจัดคราบอย่างล้ำลึก เพื่อป้องกันการจับตัวเป็นก้อนของเนื้อผ้านวมภายใน ที่สำคัญคือน้ำยาซักผ้าจะมีคุณสมบัติเด่น สามารถละลายภายในน้ำได้ดี จึงเข้าไปขจัดคราบสกปรก ฝุ่นละออง และเชื้อโรคต่าง ๆ ภายในผ้านวมได้อย่างล้ำลึก มากกว่าการใช้ผงซักฟอกเป็นหลายเท่า หลีกเลี่ยงการใช้ผงซักฟอกที่อาจจะทำให้เนื้อผ้าจับตัวเป็นก้อน ทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง และทิ้งคราบไว้หลังผ้าแห้งอีกด้วย แต่สำหรับน้ำยาซักผ้าแล้ว จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาคราบหรือกลิ่นอับใด ๆ ทั้งยังมีสูตรสำหรับการฆ่าเชื้อโรค เชื้อไวรัส และสูตรสำหรับการซักผ้านวมโดยเฉพาะออกขายในปัจจุบัน

3.การขจัดคราบเฉพาะจุด

ถ้าคุณต้องเผชิญปัญหาคราบสกปรกต่าง ๆ บนผ้านวม ที่ไม่ว่าจะเป็นคราบขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ก่อนซักทั้งผืน คุณควรรีบกำจัดคราบเหล่านี้ก่อนเป็นเรื่องแรก เพราะถ้าสะสมไว้เป็นระยะเวลานาน จะกลายเป็นคราบฝังแน่นที่ไม่หลุดออก และอาจจะติดผ้าไปอีกยาวนาน โดยคราบที่น่ากลัวและจะต้องรีบกำจัดทันที คือ คราบเปื้อนจากหมึก, คราบเลือด และคราบมันของอาหาร วิธีการขจัดคราบเฉพาะจุดของผ้านวมจะมีแบบง่าย ๆ คือ การนำน้ำยาซักผ้านวมผสมกับน้ำอุ่น แล้วเทราดตรงบริเวณที่มีคราบสกปรก ทิ้งไว้สักครู่แล้วขยี้ออก พร้อมทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าตามปกติ โดยให้ขยี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าคราบจะจางลงมากที่สุด จากนั้นให้นำไปซักทั้งผืนภายในเครื่องซักผ้าและใช้น้ำยาซักผ้าสูตรเข้มข้นลงไปอีกครั้ง จะช่วยขจัดคราบได้มาก จนถึงขั้นไม่มีหลงเหลือให้เห็นเลยแม้แต่คราบเดียว

4.ม้วนผานวมก่อนใส่ลงเครื่อง

การซักผ้านวมภายในเครื่องอย่างถูกต้อง จะต้องม้วนผ้านวมลงสู่ถังซักและม้วนให้มีขนาดเล็กมากที่สุด เพื่อเป็นการช่วยประหยัดพื้นที่ภายในถัง และทำให้น้ำยาซักผ้าสามารถที่จะกระจายไปทั่วทั้งถังซักได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ควรนำผ้านวมใส่เครื่องแบบไร้ทิศทางหรือขยำเนื้อผ้าลงไปกองรวมกันทั้งหมด เพราะจะทำให้น้ำยาซักผ้ากระจุกอยู่เพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของเครื่องซักเท่านั้น จึงทำให้ผ้าไม่สะอาดละก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นอับจากเชื้อแบคทีเรียที่ยังคงติดอยู่บนผ้านวมบางจุดได้มากขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญคือถ้าเครื่องซักผ้าไม่ได้รับการทำความสะอาดบ่อยครั้ง จะยิ่งทำให้คราบสกปรกต่าง ๆ ที่ติดอยู่ภายในเครื่อง มาติดผ้านวมหลังซักได้ง่ายมากเลยทีเดียว

5.แช่น้ำอุ่น

เลือกใช้น้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียสหรือน้ำร้อน สำหรับการแช่ผ้านวมก่อนการซักจริง ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที  เพื่อเป็นการขจัดเชื้อโรค, เชื้อไวรัส, แบคทีเรีย และไร้ฝุ่นได้อย่างหมดจด พร้อมทำให้น้ำยาซักผ้าสามารถซอกซอนเข้าสู่เนื้อผ้าได้ดีขึ้น กระจายสารทำความสะอาดออกไปได้อย่างทั่วถึงมากที่สุด เมื่อซักเสร็จแล้วจะให้กลิ่นหอมสะอาดและสีสันที่สดใสมากขึ้นกว่าเดิม สำหรับผู้ที่ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม ควรใช้วิธีการนี้ก่อนซักผ้านวมด้วยน้ำยาซักผ้า เพราะจะทำให้กลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มติดทนนานหลายวัน

6.ปรับระบบเครื่องซักผ้า

จุดสำคัญที่ควรรู้ คือ เมื่อทำการแช่ผ้านวมและใช้เครื่องซักผ้าต่อ ไม่ควรตั้งเวลานานจนเกินไป เพราะอาจทำให้เนื้อผ้าเกิดหดตัวลง และอาจทำให้เสียหายได้ง่ายมากขึ้น เนื่องมาจากมีหลายคนคิดว่าการซักผ้านวมด้วยเวลาที่ยาวนานกว่าปกติ จะทำให้ผ้าสะอาดมากกว่าเดิม แต่กลับกลายเป็นการหดตัวของเนื้อผ้าและอาจทำให้ติดเชื้อที่อยู่ภายในถังซักได้ ด้วยปัญหาเหล่านี้เองจึงทำให้เครื่องซักผ้าอัตโนมัติรุ่นใหม่ มีโหมดสำหรับการซักผ้านวมให้โดยเฉพาะ โหมดนี้จะตั้งเวลาอย่างเหมาะสมไม่เร็วและไม่นานจนเกินไป จึงทำให้การซักเป็นไปอย่างดีเยี่ยมและไม่ทำให้เนื้อผ้าต้องเสียหายอย่างแน่นอน ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณซักผ้า จึงควรตรวจสอบดูว่าบนเครื่องมีโหมดสำหรับการซักผ้านวมให้หรือไม่? ถ้ามีให้กดใช้ เพื่อทำให้ผ้าของคุณไม่เกิดปัญหาและได้กลิ่นหอมตามแบบที่ต้องการ

7.เลือกน้ำยาปรับผ้านุ่มหอมสะอาด

สำหรับผู้ที่ต้องการให้วิธีซักผ้านวมให้มีความหอมมากยิ่งขึ้น สามารถเลือกใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้นได้ แต่ควรเลือกเป็นกลิ่นแบบหอมสะอาดที่จะไม่รบกวนคุณในยามนอนหลับ เพราะมีหลายคนที่เลือกใช้เป็นน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นหอมฉุน ที่แม้จะให้กลิ่นดีแต่กลับกลายเป็นการรบกวนจมูกเวลานอนอย่างมาก ทางที่ดีที่สุดจึงควรเลือกเป็นกลิ่นหอมสะอาด หอมอ่อน หรือหอมละมุน เพื่อทำให้เกิดความผ่อนคลายมากขึ้น และหลับสบายในทุก ๆ คืน ซึ่งในปัจจุบันมีการผลิตน้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับชุดเครื่องนอนและผ้านวมออกขายโดยเฉพาะ คุณจึงสามารถเลือกกลิ่นที่ชื่นชอบและไม่ฉุนมากจนเกินไป มา ใช้ได้ง่ายมากขึ้น

8.ไม่ซักผ้านวมร่วมกับเครื่องนอน

เชื่อว่าหลาย ๆ บ้านต้องมีการซักผ้านวมร่วมกับเครื่องนอนชิ้นอื่นกันมาบ้างแล้ว ซึ่งวิธีการนี้ถือว่าผิดและจะทำให้ผ้านวมมีกลิ่นอับง่าย เนื่องมาจากเครื่องนอนอย่างปลอกหมอน ที่ไม่ว่าจะเป็นหมอนข้างหรือหมอนหนุน และผ้าปูที่นอนจะมีกลิ่นที่ค่อนข้างแรงและสามารถกระจายเชื้อแบคทีเรีย ไปสู่เครื่องนอนประเภทอื่น ๆ ได้มาก จึงทำให้การซักร่วมกันจะไม่สะอาด ติดเชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย พร้อมทำให้กลิ่นไม่ดีเท่าที่คุณ นอกจากนี้เครื่องซักผ้าอาจเสียหายไปด้วย เพราะผ้านวมมีขนาดใหญ่และมีเนื้อผ้าหนา ถ้าต้องซักร่วมกับเครื่องนอนหลายชิ้น ก็อาจพาให้หนักเครื่องเกินไป ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่สะดวกใช้ผงซักฟอกมากกว่าด้วยแล้ว อาจจะทำให้ติดคราบของผงซักฟอกหลังซักเสร็จ ที่จะยิ่งนำทั้งกลิ่นอับและคราบด่างที่ไม่น่าพึงประสงค์ติดมาได้เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว

9.คลายผ้าก่อนตาก

หลังจากซักผ้านวมภายในเครื่องเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ควรรีบนำผ้าขึ้นตากทันที แต่ควรนำผ้าออกมาสะบัดให้เรียบร้อย และคลายเนื้อผ้าออกก่อนการตากจริง เพื่อลดความยับและช่วยทำให้ผ้าคลายตัว จนสามารถที่จะกระจายเนื้อ ภายในของผ้านวมออกได้มากที่สุด ลดการเกิดปัญหาจับตัวเป็นก้อนและทำให้แห้งเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้ที่นำผ้านวมขึ้นตากเลยทันที จะสังเกตได้ว่าเนื้อนุ่นหรือวัสดุสังเคราะห์ที่อยู่ภายในของผ้านวม มักจะรวมกันเป็นกระจุกและกลายเป็นปัญหาแห้งยากที่พาให้บางส่วนของเนื้อผ้านวมมีกลิ่นเหม็นอับ ทั้งที่ตากกลางแดดอีกด้วย

10.แตกกลางแดดเพื่อฆ่าเชื้อ

สำหรับการตากหลังซักผ้านวมเสร็จแล้ว ให้นำมาสะบัดและคลายเนื้อผ้านวมบนราวตากผ้าให้เรียบร้อย นำออกตากกลางแดด 2-3 ชั่วโมง โดยให้เลือกแสงแดดที่ไม่ถึงกับแรงมาก อย่างเช่นหน้าบ้าน เพื่อการฆ่าเชื้อได้ดีและไม่ทำให้เกิดกลิ่นไหม้ ดังนั้นจึงต้องคอยสังเกตจุดที่ตากผ้าห่มให้บ่อยครั้ง ถ้าแดดเริ่มแรงโดยเฉพาะในช่วง 12.00 น.เป็นต้นไป ให้ขยับผ้าเข้ามาตากที่ร่มและมีอากาศถ่ายเทสะดวกแทน เพราะการตากกลางแดดที่มีความร้อนพอเหมาะจะไม่ทำลายเนื้อผ้ามากจนเกินไป ทั้งยังไม่ทำลายกลิ่นหอมของน้ำยาซักกับน้ำยาปรับผ้านุ่มอีกด้วย ที่สำคัญคือคุณควรต้องคอยตรวจสอบดูว่า ฮวงจุ้ยหน้าบ้าน เหมาะกับการตากผ้าแค่ไหน พอผ้าเริ่มแห้งแล้วคอยพลิกกลับผ้านวมด้านในออกมาตาก เพื่อทำให้เกิดความแห้งเร็วขึ้น

เรื่องควรระวัง คือ ไม่ว่าแสงแดดจะช่วยฆ่าเชื้อและทำให้แห้งเร็วมากแค่ไหน แต่ถ้าตากผ้านวมไว้กลางแดดแรงจัดเป็นระยะเวลานาน จะทำให้คุณได้กลิ่นเหม็นไหม้ของแดดติดผ้านวมมาด้วย ทั้งยังทำให้สีของผ้านวมซีดจางลงอยู่ฝั่งเดียวได้ง่าย ๆ พร้อมทำให้เนื้อผ้าเกิดความเสียหายจนอาจกลายเป็นสีด่างหรือขาดเร็วกว่าปกติ

การซักผ้านวมควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ

การซักผ้านวมจำเป็นต้องซัก 2-3 ครั้งต่อเดือน เพื่อทำให้เกิดความสะอาด ขจัดเชื้อโรค สิ่งสกปรก คราบไคลจากตัวผู้ใช้งาน และไรฝุ่น ไม่ให้สะสมอยู่ภายในเนื้อของผ้านวมมากจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งเรื่องของภูมิแพ้อากาศและภูมิแพ้ผิวหนัง ทั้งยังส่งผลต่อการเกิดโรคผิวหนังในด้านอื่น ๆ ได้อีกด้วย ดังนั้นจึงควรซักผ้านวมกับเครื่องนอนที่ใช้งานในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอ พร้อมการมีทั้งชุดเครื่องนอนและชุดผ้านวมใช้สลับกัน 2-3 ชุด เพื่อให้คุณสามารถถอดออกซักและนำตากแห้งได้โดยไม่ต้องรีบมากจนเกินไป นอกจากนี้สามารถเลือกใช้เป็นเครื่องอบผ้าที่จะเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับการฆ่าเชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรียอย่างหมดจด พร้อมทำให้การตากแห้งไม่ต้องใช้เวลานานจนเกินไปอีกด้วย

 

Related Posts

Leave a Comment

Scroll to Top