ทริคลงทุนหลายหุ้น ให้จับมือกันรุ่ง!

การมีหุ้นส่วนหลายคน (Partnership) คือการที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงที่จะร่วมกันลงทุนและดำเนินธุรกิจเพื่อแบ่งปันผลกำไรและรับผิดชอบความเสี่ยงร่วมกัน รูปแบบนี้เป็นที่นิยมอย่างมากตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงสตาร์ทอัพที่ต้องการความเชี่ยวชาญหลากหลายด้าน

ข้อดีที่มองเห็นได้ชัด คือ การเสริมทุนให้แข็งแกร่ง (More Capital), เพิ่มความเชี่ยวชาญและทักษะ (Diverse Expertise), แบ่งเบาภาระและกระจายความเสี่ยง (Shared Responsibility and Risk) และการขยายเครือข่ายธุรกิจ (Wider Network) 

แต่แน่นอนว่าการมีหลายพาร์ทเนอร์หลายคนร่วมบริหาร การจัดการอาจต้องมีข้อควรระมัดระวังและวางแผนกันตั้งแต่ก่อนเริ่มทำธุรกิจ 

ก่อนจะเซ็นชื่อและเริ่มลงมือทำธุรกิจ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการจัดทำ ‘สัญญาร่วมทุน’ (Joint Venture Agreement) หรือ ข้อตกลงหุ้นส่วน (Partnership Agreement) อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร 

อย่าใช้แค่ความเชื่อใจหรือคำพูดปากเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหุ้นส่วนเป็นเพื่อนสนิท เพราะเรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร การมีเอกสารทางกฎหมายที่รัดกุมคือการป้องกันปัญหาที่ดีที่สุด

การแบ่งผลประโยชน์ที่ยุติธรรมไม่ได้หมายถึงการแบ่ง 50:50 เสมอไป

แต่ต้องประเมินมูลค่าการมีส่วนร่วมให้ครบทุกด้าน ทั้งเงินทุน (Capital), เวลาและแรงงาน (Time/Effort), รวมถึงทักษะความเชี่ยวชาญ (Expertise) ที่แต่ละคนนำมาสู่ธุรกิจ ต้องมีการตีมูลค่าเหล่านี้เพื่อกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นที่สมเหตุสมผลตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อลดความรู้สึกไม่ยุติธรรมในอนาคต

นอกจากนี้ ควรพิจารณาใช้ระบบ Vesting สำหรับการทยอยให้หุ้น เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานระยะยาว และที่สำคัญที่สุดคือการสร้าง ความโปร่งใสทางการเงิน (Financial Transparency) โดยการจัดการบัญชีอย่างเป็นระเบียบและให้หุ้นส่วนทุกคนเข้าถึงข้อมูลทางการเงินได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นสูงสุด และอย่าลืมกำหนดวาระในการทบทวนข้อตกลงเป็นระยะ เพื่อปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงที่เปลี่ยนแปลงไป

ความขัดแย้งทางความคิดเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าจัดการไม่ดีก็อาจถึงขั้นเลิกกิจการได้ ดังนั้นควรกำหนด ‘กฎเหล็ก’ ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ทำสัญญา

หนึ่งในกฎสำคัญคือการมี ผู้ตัดสินขั้นสุดท้าย ที่ชัดเจนเมื่อเกิดปัญหาเสียงโหวตเสมอกัน (Deadlock) ต้องระบุว่าใครมีสิทธิ์ชี้ขาด หรือกำหนดว่าต้องใช้เสียงส่วนใหญ่กี่เปอร์เซ็นต์ในการอนุมัติเรื่องสำคัญ

ขณะเดียวกัน ควรมุ่งเน้นไปที่การ แยกปัญหาออกจากบุคคล ให้ความสำคัญกับข้อมูล ข้อเท็จจริง และผลประโยชน์ของบริษัทเป็นหลัก เพื่อหาทางออกร่วมกันแบบ Collaborating (ให้ความร่วมมือ) ไม่ใช่การเอาชนะกัน

และที่ขาดไม่ได้คือการมี ทางออกฉุกเฉิน ที่ระบุไว้ในสัญญา เช่น กลไการซื้อหุ้นออก เมื่อความขัดแย้งรุนแรงจนไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ เพื่อให้สามารถแยกทางกันได้อย่างเป็นธรรมและจบปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

Related Posts

Leave a Comment

Categories

Recent Posts

Popular Tags

Scroll to Top