ทอง 2025 ยังน่าสนใจอยู่มั้ย?

Highlights

  • ปัจจัยหลักที่หนุนราคาทองคำให้พุ่งสูงทำสถิติใหม่
  • แนวโน้มราคาทองคำปี 2569–2570 มีโอกาสแตะ $3,000–$5,000 ต่อออนซ์
  • การลงทุนทองคำยุคใหม่: หลากหลาย เข้าถึงง่าย เหมาะกับคนรุ่นใหม่

ในปีที่ผ่านมาตลาดทองคำโลกมีความคึกคักมากๆ และสร้างสถิติ All-Time High ราคาพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยสำคัญของราคาทองที่พุ่งสูงมีดังนี้

  1. สงครามการค้าและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น ความขัดแย้งทางการค้าที่ยกระดับเป็น ‘สงครามการค้าเต็มรูปแบบ’ ระหว่างมหาอำนาจโลก เช่น การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าอย่างรุนแรง สร้างความกังวลอย่างหนักต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก เมื่อความไม่แน่นอนสูงขึ้น นักลงทุนจะมองหาที่พักพิง ทำให้เกิดการไหลเข้าของเม็ดเงินจำนวนมหาศาลสู่ตลาดทองคำ
  2. การคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งมีแนวโน้มที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงกลางถึงปลายปี 2568 เพื่อประคองเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัว
  3. เงินเฟ้อเรื้อรัง แม้จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อมาแล้ว แต่หลายประเทศยังคงเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ค่าของเงินจริงลดลงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้ยิ่งกระตุ้นความต้องการทองคำในฐานะ สินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ นั่นเอง
  4. ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำสะสม ธนาคารกลางหลายประเทศยังคงเดินหน้าสะสมทองคำเข้าสู่ทุนสำรอง เพื่อกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์และวิกฤตเศรษฐกิจโลก การซื้ออย่างต่อเนื่องนี้เป็นฐานรากสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำแข็งแกร่งและมีแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว

จากปัจจัยหนุนที่แข็งแกร่งในปี 2568 ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ปรับเพิ่มการคาดการณ์ราคาทองคำสำหรับปี 2569-2570 สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

1. การทะลุ $3,000 ต่อออนซ์: ผู้เชี่ยวชาญได้ประเมินว่า ราคาทองคำมีโอกาสสูงที่จะทะลุระดับ $3,000 ต่อออนซ์ และอาจไปถึง $4,000 – $5,000 ได้ภายในปี 2569 หากสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงดำเนินต่อไป หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการลดดอกเบี้ยอย่างชัดเจน ตัวอย่างการคาดการณ์: บางสำนักคาดการณ์ว่าราคาทองคำอาจพุ่งสูงถึง $5,355 ต่อออนซ์ ภายในปี 2569 

2. ปัจจัยกดดันที่ต้องเฝ้าระวัง: แม้แนวโน้มจะดูสดใส แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันราคาได้ เช่น

    • การปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างกะทันหันของธนาคารกลางเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
    • การแข็งค่าของเงินดอลลาร์อย่างรวดเร็ว
    • การคลี่คลายของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างกะทันหัน
    • การขายทำกำไรของนักลงทุนเมื่อราคาถึงจุดสูงสุด

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อาจมีเงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก ไม่ต้องการความยุ่งยากในการเก็บรักษา และต้องการความคล่องตัวในการซื้อขาย การลงทุนทองคำในยุคนี้มีทางเลือกที่หลากหลายและเข้าถึงง่ายมากขึ้น

1. Gold Wallet เป็นการซื้อขายทองคำผ่านแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ของสถาบันการเงิน โดยไม่ต้องถือครองทองคำจริง

  • ข้อดี: คล่องตัวสูง ซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อย เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น-กลาง หรือสะสมทีละนิด
  • สิ่งที่ต้องระวัง: ต้องเลือกแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือและได้รับการรับรอง

2. กองทุนรวมทองคำ (Gold Fund) และ ETF ทองคำ (Exchange Traded Fund) การลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวม หรือกองทุน ETF ซึ่งส่วนใหญ่จะไปลงทุนในทองคำแท่งขนาดใหญ่ เช่น SPDR Gold Trust

  • ข้อดี: ความเสี่ยงกระจายตัว ไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บรักษา ได้ผลตอบแทนอ้างอิงราคาทองโลก เหมาะกับการลงทุนระยะกลางถึงยาวเพื่อกระจายความเสี่ยงในพอร์ตโดยรวม
  • สิ่งที่ต้องระวัง: มีค่าธรรมเนียมการจัดการ และผลตอบแทนอาจไม่เท่ากับราคาทองคำจริงเป๊ะๆ

3. ทองคำแท่ง ก็คือการซื้อทองคำแท่งมาถือครองจริง

  • ข้อดี: ให้ความอุ่นใจสูงสุด เป็นการถือครองสินทรัพย์จริง และมีสภาพคล่องสูงหากซื้อจากร้านทองที่น่าเชื่อถือ
  • สิ่งที่ต้องระวัง: ต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูง ต้องคำนึงถึงสถานที่จัดเก็บที่ปลอดภัย (ตู้เซฟ หรือบริการเช่าตู้เซฟ) และต้องเลือกซื้อจากร้านที่ได้มาตรฐานมีใบรับประกัน (อ้างอิงมาตรฐาน 96.5% ในไทย)

4. ทองรูปพรรณ การซื้อทองคำที่มาในรูปแบบเครื่องประดับ

  • ข้อดี: สามารถสวมใส่ได้ เป็นทั้งการลงทุนและการใช้งาน
  • สิ่งที่ต้องระวัง: มีค่ากำเหน็จ (ค่าฝีมือ) เพิ่มขึ้นมา และเมื่อขายคืนจะมีค่าเสื่อม ประมาณ 5% ทำให้การทำกำไรจากการลงทุนค่อนข้างยากกว่าทองคำแท่งหรือรูปแบบอื่นๆ

 

Related Posts

Leave a Comment

Scroll to Top