ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (Premier League) เป็นหนึ่งในลีกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ด้วยการแข่งขันที่เข้มข้น ความบันเทิงที่น่าตื่นเต้น และเต็มไปด้วยดาราดังมากมายจากทั่วโลก หากคุณเป็นคนที่ไม่เคยติดตามฟุตบอลมาก่อน แต่อยากเข้าใจโลกของกีฬาที่ได้รับความรักจากผู้คนนับล้านทั่วโลก บทความนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับคุณ
พรีเมียร์ลีกไม่ได้เป็นเพียงแค่การแข่งขันกีฬาธรรมดา แต่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอังกฤษและโลก ตั้งแต่การสร้างงาน การท่องเที่ยว ไปจนถึงการเป็นสะพานเชื่อมโยงวัฒนธรรมระหว่างประเทศต่างๆ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับโลกของพรีเมียร์ลีกอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจและเพลิดเพลินกับความสนุกสนานของกีฬาชนิดนี้ได้อย่างเต็มที่
1. ระบบการแข่ง
พรีเมียร์ลีกเริ่มต้นขึ้นในปี 1992 โดยแยกตัวออกมาจากระบบลีกเก่าของอังกฤษ เพื่อสร้างการแข่งขันที่มีคุณภาพสูงขึ้น และดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก ระบบการแข่งขันของพรีเมียร์ลีกใช้รูปแบบ “Round Robin” หรือที่เรียกว่าการแข่งแบบพบกันหมด โดยทีมทั้ง 20 ทีมจะต้องเจอกันครบทุกทีม ทั้งในสนามเหย้าและสนามเยือน รวมเป็น 38 นัดการแข่งขันต่อทีมในหนึ่งฤดูกาล ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤษภาคมของปีถัดไป การนับคะแนนใช้ระบบ 3-1-0 หมายความว่า ทีมที่ชนะจะได้ 3 คะแนน เสมอได้ 1 คะแนน และแพ้ได้ 0 คะแนน ทีมที่รวบรวมคะแนนได้มากที่สุดในตอนท้ายฤดูกาลจะเป็นแชมป์ หากคะแนนเท่ากัน จะดูจากผลต่างประตู (ประตูที่ทำได้ลบด้วยประตูที่เสียไป) และจำนวนประตูที่ทำได้ตามลำดับ
2. สมรภูมิพรีเมียร์ลีก
สิ่งที่ทำให้พรีเมียร์ลีกพิเศษคือความไม่แน่นอน ในลีกอื่นๆ อาจจะมีทีมใหญ่ 1-2 ทีมที่ครองแชมป์สลับกัน แต่ในพรีเมียร์ลีกมีทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์ได้หลายทีม และทีมเล็กๆ ก็สามารถเอาชนะทีมใหญ่ได้ในวันที่ฟอร์มดี ทีมที่อยู่อันดับ 18, 19, และ 20 ในตอนท้ายฤดูกาลจะตกไปเล่นในแชมเปียนชิพ (ลีกรองลงมา) ขณะที่ทีมอันดับ 1, 2 จากแชมเปียนชิพ และทีมที่ชนะเพลย์ออฟจะขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลถัดไป การตกชั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะมูลค่าทางการเงินที่แตกต่างกันระหว่างพรีเมียร์ลีกกับแชมเปียนชิพมีมากมาย ทีมที่ตกชั้นจะสูญเสียรายได้จากสิทธิ์ถ่ายทอดสด เงินรางวัล และโอกาสในการซื้อนักเตะดาวดัง นี่คือเหตุผลที่ทำให้การต่อสู้เพื่อหลีกเลี่ยงการตกชั้นมักจะมีดราม่าไม่แพ้การแย่งแชมป์
นอกจากการแย่งแชมป์และหลีกเลี่ยงการตกชั้นแล้ว ยังมีการแข่งขันเพื่อคว้าตำแหน่งในกลุ่ม “Top 4” หรือ 4 อันดับแรก เพราะทีมเหล่านี้จะได้สิทธิ์เข้าร่วม UEFA Champions League ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ทีมอันดับ 5 จะได้เข้า UEFA Europa League และทีมอันดับ 6 อาจได้เข้า UEFA Conference League ขึ้นอยู่กับผลการแข่งขันในถ้วยรางวัลอื่นๆ
นอกจากพรีเมียร์ลีกแล้ว ทีมในลีกอังกฤษยังมีการแข่งขันอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น FA Cup ซึ่งเป็นการแข่งขันแบบน็อคเอาท์ที่ทีมจากทุกระดับสามารถเข้าร่วมได้ และ Carabao Cup ที่เป็นการแข่งขันสำหรับทีมในลีกอาชีพของอังกฤษ
3. ทีมเด่นที่ควรรู้จัก
เมื่อพูดถึงทีมเต็งแชมป์พรีเมียร์ลีก จะหนีไม่พ้นกลุ่มที่เรียกว่า “Big Six” ซึ่งเป็นทีมใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งและได้รับความนิยมสูง ประกอบด้วย Manchester City, Arsenal, Liverpool, Chelsea, Manchester United, และ Tottenham Hotspur
- Manchester City** ภายใต้การนำของ Pep Guardiola เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก สามสมัยติดต่อกัน เน้นสไตล์การเล่นที่เน้นการครอบครองบอลและการเคลื่อนไหวแบบไหลลื่น โดดเด่นด้วยนักเตะดาวดังอย่าง Erling Haaland, Phil Foden, Rodri และ Omar Marmoush
- Arsenal** ภายใต้การคุมทีมของ Mikel Arteta กำลังกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งหลัง ด้วยทีมที่ผสมผสานระหว่างนักเตะดาวรุ่งและนักเตะประสบการณ์สูง เช่น Bukayo Saka, Declan Rice, Martin Ødegaard และ Gabriel Jesus สไตล์การเล่นของพวกเขาเน้นการกดดันสูงและการเปลี่ยนจังหวะการเล่นอย่างรวดเร็ว
- Liverpool** แชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้วจะป้องกันแชมป์ได้หรือไม่ Arne Slot เสริมทัพอย่างยิ่งใหญ่ด้วยนักเตะใหม่ เช่น Florian Wirtz, Hugo Ekitiké ร่วมกับดาวเด่นหลักอย่าง Mohamed Salah, Virgil van Dijk, และ Alexis Mac Allister
- Chelsea** ฤดูกาล 2025–2026 ของเชลซีถือเป็นการรีบูตครั้งใหญ่ภายใต้การคุมทีมของกุนซือไฟแรง Enzo Maresca ที่เน้นสร้างทีมพลังหนุ่มเพื่อท้าทายบัลลังก์พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง นักเตะหนุ่มมากความสามารถอย่าง Cole Palmer, Enzo Fernández, João Pedro, และ Moisés Caicedo เป็นหัวใจสำคัญของทีม
- Manchester United** ภายใต้การนำของ Ruben Amorim กำลังพยายามกลับมาสู่ความรุ่งเรืองในอดีต หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากหลังยุค Sir Alex Ferguson นักเตะอย่าง Bruno Fernandes, Casemiro, และ Mason Mount เป็นแกนหลักของทีมที่พยายามแข่งขันกับทีมใหญ่อื่นๆ
- Tottenham Hotspur** หรือที่แฟนบอลเรียกว่า “Spurs” เป็นทีมที่มีชื่อเสียงในเรื่องการเล่นฟุตบอลที่สวยงาม กำลังมาแรงสุด ๆ ภายใต้การคุมทีมของ โค้ช Thomas Frank ที่เน้นเกมรุกเร็วและการใช้ดาวรุ่งผสมกับแข้งประสบการณ์ด้วยนักเตะอย่าง James Maddison, และ Richarlison
4. สงครามมันสมองข้างสนาม
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้พรีเมียร์ลีกน่าติดตามคือการต่อสู้ทางยุทธวิธีระหว่างผู้จัดการทีมชั้นนำของโลก ลีกนี้รวบรวมกุนซือระดับโลกมาไว้ในที่เดียว แต่ละคนต่างมีปรัชญาการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
- Pep Guardiola แห่ง Manchester City เป็นที่รู้จักในเรื่องของการเล่นแบบ “Tiki-Taka” ทีมของเขาจะครอบครองบอลมากที่สุด เคลื่อนไหวแบบไหลลื่น และสร้างโอกาสทำประตูผ่านการส่งบอลสั้นๆ อย่างต่อเนื่อง Guardiola ยังเป็นนวัตกรที่ชอบทดลองตำแหน่งนักเตะ เช่น การใช้กองหลังเล่นในตำแหน่งกองกลาง หรือการใช้กองกลางมาเล่นกองหลัง
- Mikel Arteta แห่ง Arsenal ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของ Guardiola นำเอาปรัชญาการเล่นแบบครอบครองบอลมาใช้ แต่เติมความเข้มข้นและการกดดันสูงเข้าไป Arsenal ภายใต้การนำของเขาเล่นแบบเร็วและดุดัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนจังหวะจากการป้องกันสู่การรุก
- Arne Slot แห่ง Liverpool ซึ่งรับช่วงต่อจาก Jurgen Klopp คุมทีมเป็นปีแรก และนำทีมเป็นแชมป์ฤดูกาลที่แล้วอย่างขาดลอย ทีมของเขาเล่นต่อยอดการเล่นเกมส์บุกที่ดุดัน ด้วยการควบคุมจังหวะเกมส์ โจมตีทำประตูอย่างแม่นยำ และเน้นการป้องกันที่เหนียวแน่น กดดันคู่แข่งเพื่อแย่งบอลจากแดนคู่ต่อสู้
5. แท็กติกพื้นฐานที่ควรรู้
การเข้าใจแท็กติกฟุตบอลเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้การดูฟุตบอลของคุณสนุกและน่าตื่นเต้นมากขึ้น ระบบการเล่นที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในพรีเมียร์ลีค เช่น 4-4-2, 4-3-3, 3-5-2, และ 4-2-3-1 ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกถึงจำนวนผู้เล่นในแต่ละแนว โดยเริ่มจากแนวหลัง แนวกลาง และแนวหน้าตามลำดับ
- ระบบ 4-4-2 เป็นระบบคลาสสิกที่ใช้กันมายาวนาน ประกอบด้วยกองหลัง 4 คน กองกลาง 4 คน และกองหน้า 2 คน ระบบนี้ให้ความสมดุลระหว่างการรุกและการรับ
- ระบบ 4-3-3 ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะจากทีมที่ต้องการเล่นแบบครอบครองบอล มีกองกลาง 3 คนที่ช่วยในการสร้างเกม และกองหน้า 3 คนที่สามารถกดดันคู่ต่อสู้ได้อย่างต่อเนื่อง
แท็กติกในฟุตบอลไม่ใช่แค่การวางแผนที่ซับซ้อนของกุนซือทีม แต่เป็นศิลปะของการจัดวางผู้เล่น การทำงานร่วมกัน และความเข้าใจกันของทุกคนในทีม
6. บทบาทของผู้เล่นแต่ละตำแหน่ง
- ผู้รักษาประตูในยุคปัจจุบันไม่ได้มีหน้าที่แค่ป้องกันประตู แต่ต้องมีส่วนร่วมในการสร้างเกมด้วยการส่งผ่านบอลที่แม่นยำ กองหลังต้องทำหน้าที่ทั้งป้องกันและสนับสนุนการรุก โดยเฉพาะแบ็กซ้าย-ขวาที่ต้องวิ่งขึ้น-ลงตลอดเกม
- กองกลางเป็นหัวใจของทีม แบ่งออกเป็นกองกลางรับ (Defensive Midfielder) ที่ทำหน้าที่ป้องกันและตัดบอล กองกลางสร้างเกม (Playmaker) ที่ทำหน้าที่ส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีม และกองกลางบุก (Attacking Midfielder) ที่ช่วยในการสร้างโอกาสยิงประตู
- กองหน้ามีหลายประเภท ตั้งแต่กองหน้าเป้า ที่รับบอลด้วยหลังและแจกให้เพื่อนร่วมทีม กองหน้าที่ใช้ความเร็วในการวิ่งขึ้นหลังแนวรับ ไปจนถึงกองหน้าจอมเทคนิค (False 9) ที่ถอยลงมาเล่นในพื้นที่กองกลาง
7. กฎใหม่และเทคโนโลยีในสนาม
ฟุตบอลเป็นกีฬาที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทั้งในด้านกฎการเล่นและเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในสนาม
หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดคือการนำระบบ VAR เข้ามาใช้ในพรีเมียร์ลีค ระบบนี้ช่วยให้ผู้ตัดสินสามารถทบทวนการตัดสินที่สำคัญผ่านการดูวิดีโอย้อนหลัง สถานการณ์ที่สามารถใช้ VAR ได้ ได้แก่ การยิงประตู การทำผิดที่ควรได้รับบัตรแดง การทำผิดในเขตโทษ และการเล่นผิดกฎล้ำหน้า
แม้ว่า VAR จะช่วยให้การตัดสินแม่นยำมากขึ้น แต่ก็สร้างความถกเถียงและความล่าช้าในเกมบางครั้ง ผู้ดูต้องเรียนรู้ที่จะอดทนรอผลการตรวจสอบ ซึ่งบางครั้งอาจใช้เวลาหลายนาที
8. แมตช์การแข่งที่น่าติดตาม
วัฒนธรรมแฟนบอลอังกฤษมีความเป็นเอกลักษณ์และมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แฟนบอลอังกฤษมักจะมีความภักดีต่อทีมของตัวเองสูงมาก โดยการสนับสนุนทีมมักจะถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้แต่ละทีมจะมีแมตช์พิเศษกับคู่แข่งสำคัญ เช่น
- Manchester Derby (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด vs แมนเชสเตอร์ ซิตี้)
การแข่งขันระหว่างสองทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ที่มีความหมายมากกว่าแค่ 3 คะแนน เป็นการแข่งขันที่แสดงถึงอำนาจและความเหนือกว่าในเมือง - North London Derby (อาร์เซนอล vs ท็อตแนม)
คู่แข่งที่เก่าแก่และดุเดือดที่สุดคู่หนึ่งในฟุตบอลอังกฤษ การแข่งขันระหว่างแฟนบอลสองฝ่ายมีมาอย่างยาวนาน ทั้ง 2 ทีมต้องการชนะเพื่อความเป็นที่ 1 ในเมืองลอนดอน - Merseyside Derby (ลิเวอร์พูล vs เอฟเวอร์ตัน)
การแข่งขันระหว่างสองทีมจากเมืองลิเวอร์พูลที่มีลักษณะเฉพาะคือแฟนบอลสองฝ่ายมักจะเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน - ศึกแดงเดือด (ลิเวอร์พูล vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
ศึกแดงเดือด คือชื่อที่แฟนบอลไทยใช้เรียกการแข่งขันฟุตบอลระหว่างสองทีมยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ: แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นหนึ่งในแมตช์ที่ดุเดือดและมีความเป็นอริสูงที่สุดในโลกฟุตบอล
9. การถ่ายทอดสดและการติดตามผลการแข่งพรีเมียร์ลีก
ทางอนันดาขอแนะนำเว็บไซต์ที่ได้รวม โปรแกรมพรีเมียร์ลีก ตารางแข่งพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024-2025 ใครเชียร์ทีมไหน เช็ควันกันได้เลย
ในยุคปัจจุบันที่ไลฟ์สไตล์ของคนเปลี่ยนไป คุณสามารถรับชมการแข่งฟุตบอลพรีเมียร์ลีกผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย โดย Monomax เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ตลอดฤดูกาล 2025-2026 ในการถ่ายทอดสด รวมถึงการดูย้อนหลัง และไฮไลต์อย่างเป็นทางการ ผ่านช่องทีวีและแอปสตรีมมิงของตนเองและพาทเนอร์ทางธุรกิจ
การรับชมผ่านผู้ถือลิขสิทธิ์ มีข้อดีหลายประการ เช่น ความชัดเจนของภาพและเสียง การบรรยายการแข่งของนักพากย์มืออาชีพ ซึ่งช่วยให้ผู้รับชมสามารถเพลิดเพลินกับการแข่งขันได้อย่างเต็มที่
10. นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญในไทยที่คุณควรติดตาม
การติดตามผู้รู้และสื่อที่ไว้ใจได้จะทำให้คุณ “ดูเป็น” เร็วขึ้น เข้าใจที่มาที่ไปว่าทำไมทีมหนึ่งเลือกเปลี่ยนตัวแบบนั้น หรือดีลหนึ่งถึงแพงขนาดนี้ ด้านล่างคือรายชื่อและหมวดหมู่ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ พร้อมสรุปสั้นๆ ว่าควรตามเพื่ออะไร
- Siamsport, Main Stand สื่อหลักที่มักมีบทความสรุปสัปดาห์ การวิเคราะห์ที่เข้าใจง่าย
- Football Guru Thailand เพจและช่องทางออนไลน์ที่เน้นการวิเคราะห์แบบเจาะลึก โดยเฉพาะเรื่องแท็กติก การจัดทีม และมุมมองเชิงเทคนิค
- Peefootball (ภีร์ พีระภัทร) วิเคราะห์เกมแบบเข้าใจง่าย สนุก มีอารมณ์ร่วมสูง
- ต้องซุย (ภานุวัฒน์) คอนเทนต์ฟุตบอลผสมความฮา มีมุมมองเฉียบ ๆ
- ลีซอ ธีรเทพ วิโนทัย อดีตนักเตะทีมชาติไทย แชร์มุมมองจากคนในวงการ
- บอ.บู๋ หนึ่งในนักพากย์และคอลัมนิสต์ฟุตบอลระดับตำนานของไทยที่ยังคงโลดแล่นอย่างเข้มข้น
สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่า ฟุตบอลคือเกมของอารมณ์ร่วมและความเคารพซึ่งกันและกัน เชียร์ให้สุด แต่ให้เกียรติคู่แข่งและแฟนทีมอื่น ความสวยงามของพรีเมียร์ลีกไม่ได้อยู่แค่ถ้วยแชมป์ แต่อยู่ในทุกเสียงเชียร์ ทุกจังหวะเกม และทุกเรื่องเล่าที่เราแบ่งปันร่วมกัน ยินดีต้อนรับสู่ฤดูกาลใหม่ของคุณเองในโลกพรีเมียร์ลีก ขอให้สนุกกับทุกนัด!
