ช่วงนี้เพื่อน ๆ สังเกตมั้ยว่า ‘ราคาเบเกอรี่ เค้ก และเมนูอื่นๆ ที่มีส่วนผสมของเนย’ เริ่มปรับราคาสูงขึ้น สิ่งนี้ไม่กระทบเฉพาะกลุ่มคนทำเบเกอรี่ คนทานเบเกอรี่ แต่เป็นโดมิโน่ที่คนทั่วไปก็ต้องสนใจ ลองนึกภาพดูเนอะ ถ้าเพื่อน ๆ ไปตลาดวันนี้เห็นเนยก้อนราคาแพงขึ้น 10–15% จากปีที่แล้ว แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบเฉย ๆ มันคือสัญญาณที่บอกว่าเศรษฐกิจมีอะไรหลายอย่างกำลังขยับ
- ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม: นมทำเนยก็ต้องมาจากฟาร์มนม ถ้าฟาร์มเจอปัญหาฝนแล้งหรือราคาพลังงานดีดตัว พอลุกลามก็ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นส่งถึงมือเราทันที
- ค่าขนส่งขยับ: เชื้อเพลิงแพงขึ้นคนนำเข้าต้องเจอ shipping cost เพิ่ม จาก global supply chain ที่ยังไม่ฟื้นตัว นี่คือ echo ของสงคราม ยูเครน-รัสเซีย + ปัญหาโลจิสติกส์ต่าง ๆ
- เงินเฟ้อทั่วโลก: ธนาคารโลก หรือ IMF ประกาศเงินเฟ้อเฉลี่ยโลก 2025 ยังคงอยู่ในระดับสูงประมาณ 5–6% แค่เนยขึ้น 15% ก็สะท้อนภาพนี้แล้วว่า ‘เงินมีค่าน้อยลง’
ทีนี้กลับมามองที่ ‘เนยก้อนเล็ก’ แต่คิดไปถึงภาพใหญ่เศรษฐกิจระดับประเทศได้เลยว่า ถ้าเนยขึ้น แปลว่าเศรษฐกิจหลายภาคส่วนกำลังมีปัญหาแน่นอน
อะไรซ่อนอยู่ในปัจจัย ‘ราคาขึ้น’
ทำไมเราถึงต้องใส่ใจราคาของ ‘เนย’ เพราะมันไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่มีเบื้องหลังแบบนี้
ต้นทุนสูง ทั่วห่วงโซ่เศรษฐกิจ
- ค่าอาหารวัว (ต้นทุนน้ำนม) ปรับตัวขึ้นแบบเร่งด่วน
- ค่าจ้างแรงงาน, ค่าขนส่ง, บรรจุภัณฑ์ ทุกอย่างสะท้อนไปยังราคาขายสุดท้าย
- อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ถ้าค่าเงินบาทแข็งหรืออ่อนกว่าปีก่อน ราคาวัตถุดิบนำเข้าก็จะปรับไปตามค่าเงิน
- นโยบายภาครัฐ + ภาษี ถ้ารัฐเก็บภาษีเพิ่มเติมกับเกษตรกรหรือผู้ส่งออก นั่นโผล่มาที่ปลายทางคือผู้บริโภค
- อำนาจต่อรองของตลาด ถ้าแบรนด์ใหญ่ๆ ครองตลาดเนย พอราคาต้นทุนขึ้นก็อาจไม่ลดราคาลงนัก แต่คนเล็กอาจไม่ได้ลดราคาต้นทุนให้ลูกค้า
อีกอย่างที่น่าสนใจคือ พอราคาขึ้น เรามักเห็น ‘ไม่คุ้มจ่าย’ ไล่เฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยก่อน แต่เนยคือสินค้าพื้นฐาน ทำให้เห็นเลยว่าไหลไปถึงทุกระดับที่จับต้องได้
อย่าคิดว่าเนยแพงขึ้นเป็นเรื่องของซัพพลายฝั่งเดียว เพราะ ‘ดีมานด์’ ก็เขย่าราคาได้เหมือนกัน พฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้เปลี่ยนไปแบบมีพลังมากกว่าที่คิด ลองมาดูกันว่าอะไรทำให้เนยราคาโดดขึ้น
1. เสพติดความพรีเมียม
คนรุ่นใหม่อินกับ ‘เนยต้องดีต่อสุขภาพ’ หรือ ‘เนยแท้จากนิวซีแลนด์ หรือ ฝรั่งเศส’ มากขึ้น การเลือกแบรนด์ที่มีคุณภาพสูง บรรจุภัณฑ์ดูดี ทำจากวัตถุดิบปลอดสาร = ต้นทุนสูงขึ้น
🚩 ผลคือ ความต้องการเนยเกรดพรีเมียมมากขึ้น ทำให้ซัพพลายเดิมที่ผลิตแบบแมสไม่ทัน ต้องใช้ทรัพยากรใหม่ เท่ากับ ราคาขึ้น
2. เทรนด์สุขภาพ-รักษ์โลกมาก่อน
ใครกินคลีน ใครดูแลตัวเอง รู้เลยว่าเลี่ยงเนยที่มีไขมันทรานส์สูง ทำให้เกิด demand สำหรับเนยออร์แกนิก, non-GMO, grass-fed ฯลฯ ซึ่งมีขั้นตอนการผลิตซับซ้อน ต้นทุนสูงกว่า
🚩 ผลคือ โรงงาน หรือ ฟาร์มที่ผลิตตามมาตรฐานใหม่มีน้อย แต่คนอยากกินมากขึ้น สรุปได้ว่า demand มากกว่า supply เท่ากับ ดันราคาขึ้น
3. ช้อปออนไลน์-เปรียบเทียบราคาเร็ว
คนยุคนี้เช็กราคาก่อนซื้อเสมอ เห็นชัดเลยว่าแบรนด์ไหนโดนใจและขายดี โดยเฉพาะช่วงโปรเด็ด ๆ ที่ทำให้ของดีขายหมดเร็ว
🚩 ผลคือ เนยที่นิยมสูงบางยี่ห้ออาจถูกซื้อเก็บ ทำให้เกิด ‘shortage ชั่วคราว’ ที่ผู้ค้าฉวยโอกาสดันราคาขึ้นช่วงสั้น ๆ
ราคาของเนยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่เรื่องของต้นทุนวัตถุดิบหรือพลังงานเท่านั้น แต่ยังมีผลมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ถ้าอยากให้เนยไม่แพงไปกว่านี้ ทุกฝ่ายต้องมีบทบาทร่วมกัน ตั้งแต่ผู้บริโภค ผู้ผลิต ไปจนถึงภาครัฐ
- ในฝั่งของผู้บริโภค การเลือกซื้อเนยอย่างมีสติถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ไม่ตามกระแสจนเกินไป ไม่ซื้อเกินความจำเป็น และพยายามลดพฤติกรรมกักตุนในช่วงที่ตลาดเกิดความผันผวน
- ในขณะเดียวกัน ฝั่งผู้ผลิตเองก็สามารถมีส่วนช่วยให้ราคาเนยไม่สูงขึ้นจนเกินไปได้เช่นกัน โดยการปรับสูตรการผลิตให้เหมาะสม ใช้วัตถุดิบจากแหล่งในประเทศมากขึ้น หรือหันมาใช้วัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำกว่าแต่ยังรักษาคุณภาพได้ การลงทุนในเทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนระยะยาว
- ในภาพรวมระดับประเทศ ภาครัฐควรมีนโยบายที่ช่วยเสริมเสถียรภาพของราคาสินค้าพื้นฐานอย่างเนย เช่น สนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตนมให้มีรายได้ที่มั่นคง พร้อมปรับโครงสร้างการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การแก้ปัญหาเรื่องราคาเนยให้ยั่งยืนนั้นไม่ใช่เรื่องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของระบบทั้งหมด ทั้งฝั่งผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้กำหนดนโยบายที่ต้องปรับตัวเข้าหากัน ในภาพเล็กคือเรื่องของราคา ในภาพใหญ่คือความมั่นคงของระบบอาหาร การบริโภคที่ยั่งยืน และเศรษฐกิจที่ไม่กระจุกอยู่กับต้นทุนเพียงไม่กี่ตัว