Highlights
- Gig Tripping พิสูจน์ว่าอิทธิพลทางวัฒนธรรมและดนตรี สามารถสร้างรายได้มหาศาลเข้าสู่ประเทศได้อย่างรวดเร็วและวัดผลได้จริง โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวและบริการ
- กลุ่ม Gig Tripper มีแรงจูงใจในการเดินทางสูง มีความเต็มใจจ่ายเพื่อประสบการณ์ และมีการใช้จ่ายต่อหัวในที่พัก อาหาร และการเดินทาง สูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปถึง 35-40%
Gig Tripping คือ การเดินทางท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นไปที่การเข้าร่วมงานแสดงดนตรีสด คอนเสิร์ตใหญ่ หรือเทศกาลดนตรี เป็นเป้าหมายหลัก โดยผู้เดินทางหรือที่เรียกว่า Gig Tripper จะยอมเดินทางไกล ข้ามพรมแดน เพื่อไปดูศิลปินที่ชื่นชอบในสถานที่ที่แตกต่างออกไปจากบ้านเกิด การตัดสินใจเดินทางของพวกเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวเดิมๆ แต่ขึ้นอยู่กับตารางทัวร์ของศิลปินระดับโลกเป็นสำคัญ
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในยุคนี้คือปรากฏการณ์ The Eras Tour ของ Taylor Swift ในปี 2023-2024 การทัวร์ครั้งนี้ไม่ได้สร้างสถิติแค่ยอดขายตั๋ว แต่ยังสร้างปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า Swift Effect หรือ Swiftonomics ทั่วโลก
และ สิงคโปร์ เป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ Taylor Swift จัดแสดง และรัฐบาลถึงกับทุ่มเงินอุดหนุนเพื่อผูกขาดการแสดงในภูมิภาค ผลลัพธ์คือมี Gig Tripper จำนวนมหาศาลจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เดินทางเข้าสิงคโปร์เพื่อดูคอนเสิร์ต นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าคอนเสิร์ต 6 รอบนี้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้สิงคโปร์สูงถึง 500 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 13,000 ล้านบาท) โดยเงินเหล่านี้มาจากการจองโรงแรม เที่ยวบิน ร้านอาหาร และการใช้จ่ายในประเทศทั้งหมด

คำว่า Soft Power มักถูกมองว่าเป็นเรื่องนามธรรม แต่ Gig Tripping ได้ทำให้ Soft Power นั้นกลายเป็นสิ่งที่สามารถ วัดผลและแปลงเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ทันที เพราะ Gig Tripping คือการใช้อิทธิพลทางวัฒนธรรม ดนตรี ภาพยนตร์ อาหาร หรือศิลปะ เพื่อดึงดูดใจผู้คนจากภายนอกให้เกิดความชื่นชอบและต้องการเข้ามาสัมผัส และดึงดูดให้ผู้คนเหล่านั้น ‘ใช้จ่ายเงิน’
Gig Tripping เป็นสะพานเชื่อมที่สมบูรณ์แบบ
- แรงดึงดูดวัฒนธรรม ศิลปินระดับโลกคือตัวแทนของวัฒนธรรมดนตรีสากล เมื่อพวกเขามาแสดงที่ประเทศใด ประเทศนั้นก็กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของแฟน ๆ นับล้าน
- การตัดสินใจเดินทาง ความต้องการที่จะเห็นศิลปินที่รักแสดงสด เป็นแรงผลักดันที่รุนแรงกว่าการอยากไปเที่ยวสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง การมีอีเวนต์เป็นตัวล่อทำให้เกิดการตัดสินใจเดินทางอย่างรวดเร็ว
- การใช้จ่ายต่อเนื่อง เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึง ไม่ได้มีแค่การซื้อตั๋วคอนเสิร์ต แต่ยังมีการใช้จ่ายในภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องทั้งหมด
- โรงแรมและที่พัก: การจองที่พักในคืนที่มีคอนเสิร์ตจะสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- สายการบินและการเดินทาง: ตั๋วเครื่องบินและบริการขนส่งสาธารณะจะถูกใช้มากขึ้น
- อาหารและเครื่องดื่ม: ร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์ในพื้นที่รอบๆ สถานที่จัดงานจะมียอดขายพุ่งกระฉูด
- ค้าปลีก: ของที่ระลึก ของที่ระลึกจากศิลปิน และการช้อปปิ้งทั่วไป
- สถานที่ท่องเที่ยวรอง: Gig Tripper มักจะเผื่อเวลาเที่ยวสถานที่อื่นๆ ในช่วงสั้นๆ ก่อนหรือหลังคอนเสิร์ต

ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในฐานะ แลนด์มาร์ก ของโลก นั่นคือมีสถานที่สวยงาม ผู้คนเป็นมิตร อาหารอร่อย แต่การจะยกระดับเป็นศูนย์กลาง Gig Tripping ต้องเปลี่ยนไปเป็น ‘แลนด์ดิ้ง’ (Landing) หรือจุดลงจอดที่ศิลปินและผู้จัดงานอีเวนต์เลือกเป็นอันดับแรก การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องอาศัยความร่วมมือและการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ที่เฉียบคมในหลายมิติ
- การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอีเวนต์ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการพัฒนาหรือสร้างสนามกีฬาและอารีน่าที่ได้มาตรฐานระดับสากลอย่างแท้จริง ซึ่งหมายถึงการมีระบบเสียง แสง และความปลอดภัยที่สามารถรองรับ Production Show อลังการของศิลปิน A-list ได้อย่างสมบูรณ์
- การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อผู้จัดงาน ความง่ายในการทำธุรกิจเป็นปัจจัยชี้ขาดสำคัญ ผู้จัดงานต่างชาติต้องการความชัดเจนของกฎระเบียบและขั้นตอนที่รวดเร็ว ประเทศไทยต้องลดความซับซ้อนของขั้นตอนการขออนุญาตจัดงาน การนำเข้าอุปกรณ์ขนาดใหญ่ และการดำเนินการด้านวีซ่าสำหรับทีมงานต่างชาติ รวมถึงการพิจารณามาตรการทางภาษีและสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การลดหรือยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์สำหรับคอนเสิร์ต จะเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ผู้จัดเลือกประเทศไทยแทนคู่แข่งในภูมิภาค
- การผนวกอีเวนต์เข้ากับประสบการณ์ท่องเที่ยวท้องถิ่นอย่างชาญฉลาด Gig Tripper ไม่ได้สนใจแค่คอนเสิร์ต แต่สนใจประสบการณ์รวมในการเดินทางด้วย ประเทศไทยต้องใช้จุดแข็งด้านวัฒนธรรม อาหาร และบริการอันเป็นเอกลักษณ์ในการดึงดูดให้พวกเขาอยู่ต่อและใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การออกแบบ Tourism Package พิเศษที่รวมบัตรคอนเสิร์ตเข้ากับทัวร์สั้นๆ เพื่อสัมผัสเสน่ห์ในกรุงเทพฯ หรือเมืองใกล้เคียง






