Highlights
- หน้าที่ยื่น vs. หน้าที่เสีย แม้รายได้สุทธิจะไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี แต่หากเรามีเงินเดือนเกิน 120,000 บาทต่อปี (คนโสด) ก็มีหน้าที่ต้อง ยื่นภาษี
- ลดหย่อนคือหัวใจ การใช้สิทธิลดหย่อนถือเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว และค่าลดหย่อนจากการออม เช่น เบี้ยประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ, หรือกองทุน SSF/RMF เพื่อลดฐานรายได้สุทธิที่ต้องเสียภาษีให้มากที่สุด
- ออนไลน์คือทางออก การ ยื่นภาษีออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรนั้นง่ายที่สุด ข้อมูลเงินได้ถูกดึงมาให้ล่วงหน้า เพียงแค่กรอกค่าลดหย่อน ตรวจสอบความถูกต้อง แล้วเตรียมรับเงินคืน (ถ้ามี) หากเลยกำหนด ต้องยื่น ภาษีย้อนหลัง พร้อมรับเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
หากเพื่อน ๆ ที่เพิ่งจะเริ่มต้นทำงานประจำ หรือ ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่เราต้อง เสียภาษี ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ถนัด เพราะนอกจากกฎเกณฑ์มากมายแล้ว ยังต็มไปด้วยตัวเลขและศัพท์เฉพาะที่ชวนปวดหัว และนี่คือคู่มือสำหรับมือใหม่หัด ยื่นภาษี ที่จะทำให้เพื่อน ๆ พร้อมรับมือกับหน้าที่พลเมืองครั้งแรกของชีวิตได้อย่างมั่นใจ และที่สำคัญ…ได้เงินคืนอย่างคุ้มค่าที่สุด!
แล้วรายได้ปี 2568 ยื่นเมื่อไหร่? ตามกฎเกณฑ์แล้ว รายได้ทั้งหมดที่เราทำได้ในช่วงปี 2568 (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2568) จะต้องนำมายื่นเพื่อคำนวณภาษีในปีถัดไป ซึ่งก็คือ ปี 2569
- กำหนดเวลายื่นแบบปกติ (แบบกระดาษ): 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคม 2569
- กำหนดเวลายื่นแบบออนไลน์ (e-Filing): โดยปกติ กรมสรรพากรจะขยายเวลาออกไปจนถึงประมาณวันที่ 8 เมษายน 2569 (หรืออาจจะมีการขยายเวลาเพิ่มเติมตามประกาศของกรมสรรพากรในแต่ละปี)
ดังนั้นหากเพื่อน ๆ เป็นมือใหม่ที่กำลังจะ ยื่นภาษี เป็นครั้งแรก สิ่งที่ต้องทำคือเก็บเอกสารรายได้และค่าลดหย่อนของปี 2568 ให้ครบถ้วน แล้วเตรียมตัวยื่นในช่วงต้นปี 2569 ให้เรียบร้อย อย่าปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปจนต้องเจอเรื่องวุ่นวายทีหลัง

รู้จัก ‘รายได้’ และ ‘ผู้เสียภาษี’ ใครต้องยื่น? นับจากอะไรบ้าง?
หลายคนเข้าใจผิดว่าถ้าเงินเดือนไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีก็ไม่ต้องยื่นภาษี ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก ไม่ว่าใครก็ตามที่มีรายได้ มีหน้าที่ต้องยื่นแบบฯ ต่อกรมสรรพากร เพื่อให้รัฐรับรู้รายได้ของเรา แม้ว่าคำนวณแล้วคุณอาจจะไม่ต้องจ่ายภาษีก็ตาม
รู้จัก 8 ประเภท ‘รายได้’ (เงินได้พึงประเมิน)
เงินได้ของเราไม่ได้มีแค่เงินเดือนอย่างเดียว กฎหมายภาษีกำหนดให้รายได้แบ่งออกเป็น 8 ประเภท (ตามมาตรา 40(1) ถึง 40(8)) ซึ่งแต่ละประเภทก็มีวิธีการหักค่าใช้จ่ายที่ต่างกัน
- ม.40(1): เงินเดือน / โบนัส / เบี้ยเลี้ยง หมายถึง เงินประจำที่ได้จากการเป็นพนักงานบริษัท กินเงินเดือน ได้รับสลิปเงินเดือน การหักค่าใช้จ่าย: หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- ม.40(2): ค่าจ้าง / ค่านายหน้า / ค่าธรรมเนียม หมายถึง รายได้เสริมที่ได้จากการรับจ้างทั่วไป เช่น ได้ค่าคอมมิชชั่นจากการขาย
- ม.40(6): ค่าวิชาชีพอิสระ หมายถึง รายได้ของฟรีแลนซ์/อาชีพอิสระที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะทาง เช่น แพทย์, ทนาย, วิศวกร, นักบัญชี
- ม.40(8): รายได้อื่นๆ ที่ไม่ได้จัดอยู่ใน 1-7 หมายถึง รายได้ยอดฮิตของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์, นักลงทุนที่ได้กำไรจากการขายของ, หรือ Youtuber/Influencer ที่รับสปอนเซอร์
คำแนะนำ เพื่อน ๆ ต้องรวบรวมเอกสาร หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) จากทุกบริษัทหรือทุกแหล่งรายได้ที่เคยทำงานในปี 2568 นี่คือเอกสารสำคัญที่สุดในการยื่นภาษี

‘ลดหย่อน’ คือเพื่อนซี้ รู้จักช่องทางประหยัดภาษีมากขึ้น
สิ่งที่ทำให้การ ยื่นภาษี ไม่น่ากลัวจนขนลุกก็คือ ค่าลดหย่อน ซึ่งเป็นเหมือนส่วนลดพิเศษที่รัฐมอบให้ เพื่อลดฐานรายได้ที่ต้องนำมาคำนวณภาษี ยิ่งลดหย่อนได้มากเท่าไหร่ รายได้สุทธิที่ต้องเสียภาษีก็ยิ่งเหลือน้อยลงเท่านั้น
ค่าลดหย่อนหลักๆ ที่หลายคนใช้บ่อย มีดังนี้:
1. ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว (พื้นฐาน)
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว: ทุกคนได้สิทธิลดหย่อน 60,000 บาท โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีเอกสารใดๆ
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส: หากมีคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย และคู่สมรสไม่มีรายได้ จะลดหย่อนได้อีก 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนบุตร: บุตรชอบด้วยกฎหมาย หรือบุตรบุญธรรม (มีเงื่อนไข) โดยบุตรคนที่สองเป็นต้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 จะได้ 60,000 บาทต่อคน
- ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา: หากคุณเลี้ยงดูบิดามารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จะลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท (ใช้สิทธิได้คนเดียวเท่านั้น)
2. ค่าลดหย่อนกลุ่มการออมและการลงทุน นี่คือช่องทางที่สามารถเปลี่ยนเงินออมให้เป็นเงินลดหย่อนภาษีได้พร้อมกัน
- เบี้ยประกันชีวิตและเงินฝากแบบมีประกันชีวิต: ลดหย่อนได้ตามจริง ไม่เกิน 100,000 บาท (มีเงื่อนไขระยะเวลาและความคุ้มครอง)
- เบี้ยประกันสุขภาพ: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): กลุ่มนี้คือเพื่อนซี้ของนักลงทุน โดยมีเพดานการลดหย่อนรวมกันที่ 500,000 บาท และมีเงื่อนไขการถือครองที่ต้องศึกษาให้ดี
3. ค่าลดหย่อนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
- ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย: สำหรับคนที่เพิ่งซื้อบ้านหรือคอนโดเป็นของตัวเอง สามารถนำดอกเบี้ยที่จ่ายไปมาลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 90,000 บาท
4. ค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ (มีตามนโยบายรัฐ)
รัฐบาลมักจะมีมาตรการลดหย่อนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการช้อปดีมีคืน ที่ให้นำยอดค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการมาลดหย่อนภาษีได้ (ต้องตรวจสอบประกาศของปี 2568 ว่ามีมาตรการนี้หรือไม่)
เคล็ดลับ: อย่ามองข้ามการซื้อประกันสุขภาพให้พ่อแม่ เพราะสามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15,000 บาทด้วย

สำหรับมือใหม่ที่ต้องการ ยื่นภาษี สิ่งที่ง่ายที่สุดและได้รับความนิยมที่สุดคือการ ยื่นภาษีออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร (RD e-Filing) ระบบถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายมาก และข้อมูลส่วนใหญ่ก็ถูกดึงมาใส่ให้อัตโนมัติ
สเต็ปที่ 1: เตรียมเอกสารให้พร้อม
- 50 ทวิ: หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากทุกที่
- เอกสารลดหย่อน: หลักฐานการจ่ายเบี้ยประกัน, ใบเสร็จดอกเบี้ยบ้าน, หนังสือรับรองการซื้อ SSF/RMF, ใบเสร็จบริจาค (ถ้ามี)
- สมุดบัญชีธนาคาร: สำหรับรับเงินคืนภาษี (ถ้าเราจ่ายภาษีเกิน)
สเต็ปที่ 2: เข้าสู่ระบบ (ครั้งแรกต้องลงทะเบียน)
เข้าไปที่เว็บไซต์กรมสรรพากร และเลือกเมนู ‘ยื่นแบบออนไลน์’ หากเป็นครั้งแรก ให้ลงทะเบียนเพื่อรับชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านก่อน
สเต็ปที่ 3: เลือกแบบฟอร์มให้ถูก (ภ.ง.ด. 90 หรือ ภ.ง.ด. 91)
- ภ.ง.ด. 91: สำหรับคนที่ได้เงินเดือน (ม.40(1)) เพียงอย่างเดียว
- ภ.ง.ด. 90: สำหรับคนที่มีรายได้หลายประเภท เช่น เงินเดือน + ฟรีแลนซ์/ขายของออนไลน์/ค่าเช่า
สเต็ปที่ 4: กรอกข้อมูลและยืนยัน
ระบบจะแสดงข้อมูลเงินได้ที่ได้รับ (ถ้าผู้จ่ายได้นำส่งข้อมูลไว้) หน้าที่ของเราคือตรวจสอบความถูกต้อง และกรอกค่าลดหย่อนเพิ่มเติมที่มี
จุดที่ต้องระวัง: กรอกข้อมูลลดหย่อนให้ตรงกับเอกสารที่คุณเก็บไว้ เพราะหากสรรพากรตรวจสอบและขอเอกสาร คุณต้องมีหลักฐานไปยืนยัน
สเต็ปที่ 5: ตรวจสอบผลลัพธ์
เมื่อกรอกทุกอย่างครบ ระบบจะสรุปผลลัพธ์ออกมาเป็น 3 ทางเลือก:
- ขอคืน: เมื่อเราจ่ายภาษีเกินไปแล้ว และรัฐต้องคืนเงินให้เรา (ยอดนี้จะเข้าบัญชีของเพื่อน ๆ ในภายหลัง)
- ชำระเพิ่ม: กรณีเรายังจ่ายภาษีไม่ครบ และต้องจ่ายเพิ่มในยอดที่กำหนด สามารถเลือกจ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต, QR Code, หรือโอนผ่านธนาคาร
- ไม่เสียภาษี: ยินดีด้วย หากเพื่อน ๆ ยื่นแล้วแต่ไม่ต้องจ่ายเพิ่มหรือได้คืน ซึ่งอาจหมายถึงเราอาจจะหักจากเงินเดือนไว้แต่ละเดือนพอดีแล้ว หรือรายได้ยังไม่ถึงเกณฑ์นั่นเอง
ทำอย่างไรหากลืมยื่น หรือยื่นไม่ทัน หากคุณรู้ตัวว่าเลยกำหนดการ ยื่นภาษีออนไลน์ ไปแล้ว คุณก็ยังสามารถยื่นแบบได้โดยเลือกยื่น ภาษีย้อนหลัง ผ่านระบบออนไลน์ได้เช่นกัน แต่คุณจะต้องรับผิดชอบค่าปรับอาญาตามที่กฎหมายกำหนดทันที (เช่น ค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาท) และหากมีภาษีที่ต้องชำระเพิ่ม คุณจะต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ นับตั้งแต่วันพ้นกำหนดเวลาจนถึงวันที่ชำระ ทางที่ดีที่สุดคือ… รีบยื่นให้ทันเวลา!






