Tax Planning 2025 วางแผนภาษีโค้งสุดท้ายผ่านกองทุนรวม

ใกล้สิ้นปีทีไร เพื่อน ๆ หลายคนอาจเริ่มหวั่นใจกับเรื่องภาษีที่วนกลับมาทุกที โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน และต้องเผชิญกับการชำระภาษีเป็นครั้งแรก แต่บอกเลยว่าเรื่องภาษีไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด หากเราวางแผนให้ดีตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 นี้ ถือเป็นโอกาสทองที่เราจะใช้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อลดหย่อนภาษีให้ได้มากที่สุด

และหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่คนรุ่นใหม่ไม่ควรมองข้ามคือ ‘กองทุนรวมเพื่อการลดหย่อนภาษี’ ที่นอกจากจะช่วยให้เราจ่ายภาษีน้อยลงแล้ว ยังเป็นช่องทางการออมและลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวไปในตัวอีกด้วย

ก่อนจะไปถึงเทคนิคการเลือกกองทุน เรามาทำความรู้จักกับ 3 ฮีโร่หลักที่จะมาช่วยลดหย่อนภาษีให้เรากันก่อน ซึ่งก็คือ SSF, RMF และ Thai ESG

กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund: SSF) SSF คือกองทุนที่มาแทน LTF (Long Term Equity Fund) โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว SSF สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ได้หลากหลายประเภท ไม่จำกัดแค่หุ้นเหมือน LTF ทำให้เรามีตัวเลือกมากขึ้น

  • สิทธิลดหย่อน สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
  • เงื่อนไข ต้องถือครองหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 10 ปีเต็ม นับจากวันที่ซื้อ
  • ข้อควรรู้ ไม่กำหนดขั้นต่ำในการซื้อ ไม่มีเงื่อนไขต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ เช่น RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กบข. และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund: RMF) RMF เป็นกองทุนที่เน้นการออมเงินเพื่อการเกษียณอายุอย่างแท้จริง มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย ตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไปจนถึงความเสี่ยงสูง

  • สิทธิลดหย่อน สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
  • เงื่อนไ: ต้องถือครองหน่วยลงทุนจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม และมีเงื่อนไขต้องซื้อต่อเนื่องทุกปีด้วย
  • ข้อควรรู้  กฎหมายกำหนดให้ต้องมีการซื้อหน่วยลงทุนอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยปีเว้นปี และต้องไม่หยุดซื้อเกินกว่าหนึ่งปีติดต่อกัน

กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) Thai ESG เป็นกองทุนน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2567 เพื่อส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจไทยที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental), สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) หรือที่เรียกว่า ESG

  • สิทธิลดหย่อน สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และเป็นสิทธิลดหย่อนที่แยกต่างหากจากกองทุนอื่นๆ
  • เงื่อนไข ต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 8 ปีเต็ม นับจากวันที่ซื้อ
  • ข้อควรรู้  แม้จะซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESG แต่ก็ต้องถือครองไว้ให้ครบ 8 ปีจึงจะสามารถขายคืนได้โดยไม่ผิดเงื่อนไข และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการลดหย่อนอื่นๆ แล้ว ยังสามารถลดหย่อนได้อีก 100,000 บาท

ไหนๆ ก็รู้จักกองทุนหลากหลายกันไปแล้ว ทีนี้มาดูกันว่าเราจะเลือกกองทุนไหนดีให้ตอบโจทย์ และมีเทคนิคอะไรบ้างที่จะช่วยให้การลงทุนของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น

  1. รู้จักตัวเองให้ดีก่อน สำรวจว่าตัวเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน และมีเป้าหมายการลงทุนอะไร เพื่อเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับสไตล์การเงินของเพื่อนๆ เอง
  2. กระจายความเสี่ยงคือหัวใจสำคัญ ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวทั้งหมด ควรแบ่งเงินไปลงทุนในหลายๆ อย่าง ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต
  3. ใช้ตัวช่วยลดหย่อนอื่นควบคู่กัน นอกเหนือจากกองทุน เพื่อนๆ สามารถใช้เบี้ยประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพเพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อีก
  4. รีบลงทุนก่อนโค้งสุดท้าย ทยอยซื้อกองทุนตลอดปี หรือที่เรียกว่า DCA (Dollar-Cost Averaging) เพื่อลดความเสี่ยงจากราคาที่อาจผันผวนในช่วงปลายปี
  5. ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนให้แน่ใจ ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรเช็กวงเงินและเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีให้ละเอียดเสมอ

 

 

 

Related Posts

Leave a Comment

Categories

Recent Posts

Popular Tags

Scroll to Top