จับตาราคาทอง ปี 2568 วิเคราะห์สถานการณ์จริง พร้อมวิธีลงทุนให้ได้เปรียบ

วิเคราะห์แนวโน้มราคาทอง 2568 สถานการณ์และการลงทุนทองคำ

สถานการณ์ ราคาทอง 2568 เป็นช่วงที่ทองคำขึ้นต่อเนื่อง ทั้งในตลาดโลกและในประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่นราคาทองคำโลกทำสถิติสูงสุดที่ประมาณ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในเดือนเมษายน 2568 เพิ่มขึ้นราว 21.3% เมื่อเทียบตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ล่าสุดช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ราคาทองปิดตลาดที่ประมาณ 3,246.95 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวโน้มราคาทองวันนี้ยังเป็นขาขึ้นในภาพรวม สะท้อนความกังวลทางเศรษฐกิจและความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ในประเทศไทย สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาทองคำแท่ง (96.5%) วันที่ 19 พ.ค. 2568 อยู่ที่ 50,600 บาท ต่อบาททองคำ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายปี สถิติและข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าราคาทองทั้งในไทยและต่างประเทศ ยังคงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้

6 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น ในปี 2568 

ราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นตลอดทั้งปี 2568 มาจากปัจจัยหลายประการ ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกตึงเครียดและนโยบายการเงินของประเทศต่าง ๆ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ทองคำถูกยกให้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับนักลงทุน เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหรือมีความไม่แน่นอนสูง จึงเห็นแรงซื้อทองคำเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยธนาคารกลางและกองทุน ETF ทองคำทั้งหลายก็มีการถือครองทองคำเพิ่มมากขึ้น ราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปหลายด้าน ดังนี้

1.อัตราเงินเฟ้อสูง 

ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ดี เมื่อเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น มูลค่าเงินสดลดลง นักลงทุนจึงเทเงินเข้าซื้อทองคำเพื่อรักษาความมั่งคั่ง ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

2.นโยบายการเงินสหรัฐฯ

นโยบายการเงินสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์ เป็รอักปัจจัยที่น่าสนใจ เพราะคาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางถึงปลายปี 2568 เพื่อลดผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว การลดดอกเบี้ยนี้จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งทำให้ทองคำดูน่าสนใจขึ้นมากกว่าเดิม นักลงทุนหลายฝ่ายจึงยังเชื่อว่าหากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ก็จะยิ่งกระตุ้นความต้องการทองคำในฐานะเครื่องป้องกันเงินเฟ้อต่อไปได้อีกในระยะหนึ่ง 

3.ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์

สงครามและความขัดแย้งระหว่างประเทศ เช่น สงครามรัสเซีย–ยูเครน และสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้เกิดความเสี่ยงในตลาดโลกอย่างสูง ส่งผลให้ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยได้รับความนิยมมากขึ้น ในช่วงที่มีข่าวความขัดแย้งเหล่านี้ ราคาทองคำมักจะพุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดใหม่เสมอ เพราะนักลงทุนจะเข้าซื้อทองเพื่อหลบความเสี่ยงต่าง ๆ (Safe Haven)

4.หนี้สาธารณะและเสถียรภาพการคลังโลก

ความวิตกเกี่ยวกับหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางการคลัง เช่น โมดี้ส์ (Moody’s Ratings) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จาก Aaa เหลือ Aa1 ซึ่งสะท้อนความกังวลว่าหนี้สาธารณะจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยความกังวลดังกล่าวจะผลักดันให้นักลงทุนจะเข้าถือครองทองคำเพื่อรักษามูลค่ามากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้นตามไปด้วย

5.การสะสมทองคำของธนาคารกลาง

ธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะจีนและรัสเซีย ยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ ความต้องการทองคำที่มาจากธนาคารกลางนี้ เป็นปัจจัยเสริมสำคัญที่ช่วยพยุงราคาทองคำให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

6.อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท

อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทภายในประเทศไทย คมีแนวโน้มอ่อนค่าลง จึงส่งผลให้ราคาทองคำในไทยสูงขึ้น หากราคาทองโลกทรงตัว เพราะต้นทุนเป็นเงินบาทสูงขึ้น ดังนั้น ปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยน จึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาทองคำในไทย

จากปัจจัยข้างต้น จะเห็นได้ว่าทองคำได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาวะเงินเฟ้อสูง นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ค่าเงินดอลลาร์อ่อน ค่าเงินบาทอ่อน และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้แนวโน้มราคาทองวันนี้ยังอยู่ในทิศทางบวก แม้จะมีแกว่งปรับฐานระหว่างทางอยู่บ้างก็ตาม

แนวโน้มและคาดการณ์ราคาทองคำปี 2568

นักวิเคราะห์จำนวนมาก คาดการณ์ว่าราคาทองคำยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่อง ในปี 2568 เช่น Goldman Sachs ได้ปรับเพิ่มประมาณการราคาทองคำสิ้นปี 2568 เป็น 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากเดิม 3,100 ดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่ามีเงินไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำมากกว่าที่คาด GS ยังคาดว่าธนาคารกลางในเอเชียจะซื้อทองคำต่อเนื่อง และเฟดน่าจะลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์อื่นลดลง และทำให้ทองคำดูน่าสนใจ ในกรณีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจจนเฟดต้องลดดอกเบี้ยมากกว่านี้ ราคาทองอาจพุ่งขึ้นแตะ 3,410–3,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในปีนี้  ทางด้าน World Gold Council ก็ระบุว่าในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่ซ้ำหลายครั้ง 

โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญ คือ ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ความคาดหวังเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังเพิ่มสูงขึ้น  นอกจากนี้ กิจกรรมในกองทุน ETF ทองคำยังคงเข้มแข็ง โดยเดือนกุมภาพันธ์มีเงินลงทุนสุทธิไหลเข้าสู่องค์กร ETF ทองคำสูงถึง 9.4 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 100 ตัน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ปัจจัยเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าในระยะสั้นถึงกลาง ปี 2568 ทองคำจึงยังมีแนวโน้มขาขึ้นจากปัจจัยพื้นฐานและแรงซื้อเชิงรับของนักลงทุน แต่ระหว่างปีอาจมีการพักฐานหรือผันผวนบ้างตามสถานการณ์โลก จึงควรติดตามข่าวเศรษฐกิจและนโยบายการเงินโลกอย่างใกล้ชิด

แนวทางการลงทุนทองคำสำหรับนักลงทุนไทยปี 2568

ปี 2568 ราคาทองคำยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อทั่วโลก นักลงทุนไทยจึงเริ่มหันมาจับตาทองคำมากขึ้น เราจึงจะพาคุณไปเจาะลึกแนวโน้มราคาทอง พร้อมแนะนำวิธีลงทุนทองคำให้ปลอดภัยและเหมาะกับยุคดิจิทัล สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจ ลงทุนทองคำ ในปี 2568 มีทางเลือกหลายรูปแบบให้พิจารณา ดังนี้

1.ซื้อทองคำแท่ง/รูปพรรณ

การซื้อทองคำแท่ง (99.99% หรือ 96.5%) ในร้านทองที่เชื่อถือได้ เป็นวิธีแบบดั้งเดิม นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการถือครองสินทรัพย์จริง ราคาทองแท่งจะมีค่ากำเหน็จน้อยกว่าทองรูปพรรณ แต่มีต้นทุนการเก็บรักษาและความเสี่ยงจากการยอมเป็นจำนวนมาก ควรซื้อทองคำแท่งมาตรฐาน (96.5% หรือ 99.99%) แทนทองรูปพรรณเพื่อเกรดคุณภาพสูงและเหมาะกับการลงทุนมากกว่า

2.ซื้อทองผ่านแอปมือถือและแพลตฟอร์มออนไลน์

ปัจจุบันมีการออมทองผ่านแอปหลายตัว เช่น Gold Now, Gold2Go (InterGOLD), ออมทองของธนาคารกรุงศรี เป็นต้น แต่ละแอปพลิเคชั่นให้คุณซื้อทองคำด้วยขั้นต่ำเพียงหลักร้อยบาท และสามารถเก็บเป็นหน่วยทองได้สะดวกตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่จำเป็นต้องมีทองคำแท่งจริง แต่จะอนุญาตให้กดรับทองคำเมื่อครบ 0.5-1 กรัมตามเงื่อนไข นอกจากนี้ ยังมีบริการซื้อ-ขายทองคำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของร้านทองขนาดใหญ่ หรือแพลตฟอร์ม FinTech อื่น ๆ ที่ผู้ลงทุนสามารถซื้อทองผ่านแอปได้ตลอดเวลา ช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่สะดวกซื้อทองคำจริง

3.กองทุนรวมและ ETF ทองคำ

การลงทุนในกองทุนรวมทองคำ หรือกองทุน ETF เป็นอีกทางเลือกที่สะดวก เหมาะสำหรับคนที่ไม่นิยมถือทองจริง จึงต้องการซื้อหน่วยลงทุนแทน เช่น กองทุน KF-GOLD หรือ KF-HGOLD ของกรุงศรี ซึ่งลงทุนในทองคำแท่งโดยผู้จัดการกองทุน และกองทุน ETF ทองคำของ KTAM ชื่อ GLD ซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการดูแลทองคำด้วยตัวเอง และต้องการสภาพคล่องสูง เพราะซื้อขายหน่วยลงทุนได้สะดวกเหมือนหุ้นทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์

4.ตลาดตราสารอนุพันธ์ทองคำ (TFEX) และอื่น ๆ 

สำหรับนักลงทุนระดับกลางหรือมืออาชีพที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถลงทุนผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Gold Futures) ในตลาด TFEX ได้ มีสัญญาทองคำขนาด 50 บาท (GF-G) และ 10 บาท (GF10) ให้เลือก ซึ่งต้องมีการวางหลักประกันและเฝ้าระวังความผันผวน การลงทุนประเภทนี้เหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์ เนื่องจากโอกาสทำกำไรหรือขาดทุนสูงมาก นอกจากนี้ ยังมีหุ้นของบริษัทเหมืองทองคำและสินทรัพย์ดิจิทัลที่อ้างอิงทองคำเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ถือว่าเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ตราสารมากกว่า

ราคาทองคำปี 2568 ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง ทั้งในภาพรวมโลกและประเทศไทย 

ปัจจัยสนับสนุนหลักจากเงินเฟ้อสูง คาดการณ์นโยบายดอกเบี้ยที่ผ่อนคลาย ความไม่แน่นอนทางการเมืองโลก และการสะสมทองคำของธนาคารกลาง ทำให้สถิติราคาล่าสุดสะท้อนการเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นักลงทุนจึงให้ความสนใจทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย สำหรับนักลงทุนไทย ควรเลือกวิธีลงทุนทองคำที่เหมาะสมกับระดับความรู้และความเสี่ยง ทั้งการซื้อทองแท่ง การออมทองผ่านแอป และการลงทุนผ่านกองทุน ETF เพื่อบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมและพร้อมรับโอกาสจากแนวโน้มราคาทองที่ยังมีโอกาสสูงขึ้นในปีนี้ แต่การลงทุนทุกประเภทควรพิจารณาความเสี่ยงและวัตถุประสงค์ของตนเองให้รอบคอบ หากไม่มีความชำนาญควรสอบถามผู้รู้หรือผู้ให้บริการด้านการเงินก่อน เพื่อให้การลงทุนทองคำในปี 2568 เป็นไปอย่างรอบคอบและคุ้มค่ามากที่สุด

Related Posts

Leave a Comment

Categories

Recent Posts

Popular Tags

Scroll to Top