เมื่อ ‘สหรัฐฯขึ้นภาษี’ สินค้านำเข้าจากต่างประเทศ แม้ไทยจะไม่ได้เป็นเป้าหมายโดยตรง แต่ก็ได้รับผลกระทบผ่านห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงทั่วโลก เช่น ชิ้นส่วนที่ไทยผลิตถูกส่งไปประกอบในจีน, แล้วส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ หากสินค้าเหล่านั้นถูกเก็บภาษีสูงขึ้น ไทยก็โดนหางเลขไปด้วย ทั้งในรูปแบบของคำสั่งซื้อลดลงหรือยอดส่งออกที่ชะลอตัว
นอกจากนี้ การแข่งขันจะรุนแรงขึ้น เพราะบริษัทต่างชาติมองหาแหล่งผลิตใหม่ เพื่อหลบภาษี ทำให้ไทยมีโอกาสแต่ก็ต้องพร้อมรับแรงกดดันด้านต้นทุนและมาตรฐานที่สูงขึ้น
ผลกระทบจาก ‘สหรัฐขึ้นภาษี’ ลามมาถึงผู้ประกอบการไทยหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ หรือสินค้าเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องพึ่งพาการส่งออกหรือวัตถุดิบนำเข้า ธุรกิจรายย่อยที่นำเข้าสินค้าจากประเทศคู่กรณีก็เจอภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อาจต้องปรับราคาหรือหาทางเลือกใหม่ในการจัดซื้อสินค้า
แม้ผู้บริโภคทั่วไปจะไม่รู้สึกทันที แต่เมื่อค่าครองชีพเริ่มขยับ ผลกระทบทางอ้อมก็จะสะท้อนกลับมาในชีวิตประจำวัน
ในยุคที่ เศรษฐกิจโลก เปราะบาง การ วางแผนการเงิน อย่างรัดกุมเป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อความผันผวนกลายเป็นเรื่องปกติ
แนวทางที่ควรพิจารณา:
- ทบทวนพอร์ตการลงทุนให้หลากหลายมากขึ้น
- สำรองเงินสดเผื่อฉุกเฉิน 3-6 เดือน
- ธุรกิจควรปรับต้นทุน-บริหารซัพพลายเชนอย่างรอบคอบ
นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการลดหนี้ หลีกเลี่ยงภาระระยะยาวที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนในภาวะเศรษฐกิจซบเซา
ในภาวะที่หลายฝ่ายตกใจกับผลกระทบจาก สหรัฐขึ้นภาษี บางคนกลับใช้โอกาสนี้ในการปรับตัว พัฒนาสินค้าใหม่ หรือขยายตลาดไปยังประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบ ภาคธุรกิจที่มองไกลอาจหันมาใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น หรือลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนระยะยาว ส่วนบุคคลทั่วไปควรใช้ช่วงนี้สร้างวินัยทางการเงิน และเริ่มต้นวางแผนอนาคตอย่างมีสติ
หากมองเห็นโอกาสในวิกฤตและกล้าตัดสินใจ คนที่ปรับตัวได้ก่อนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบในเกมเศรษฐกิจระยะยาว